พฤษภาคม - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศปรับขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้อีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 5-5.25% แตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปี พร้อมส่งสัญญาณว่ายังไม่มีการปรับลดดอกเบี้ยในปีนี้ ส่งผลให้ทองคำปรับฐานตลอดทั้งเดือน

- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25 % สู่ระดับ 3.25 % ในการประชุม วันที่ 4 พ.ค. ตามการคาดการณ์ของตลาด โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 7 ติดต่อกัน

- มิถุนายน - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.00-5.25% หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 10 ครั้งติดต่อกันแต่ส่งสัญญาณว่าอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในปีนี้

- วุฒิสภาสหรัฐฯได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ให้ระงับข้อจำกัดเกี่ยวกับการกู้ยืมของรัฐบาลกลางจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2568 กล่าวคือระงับเพดานหนี้รัฐบาลกลางซึ่งปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเวลาประมาณ 2 ปี

- ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่อัตรา 3.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 22 ปี ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะเข้าสู้ภาวะถดถอยแล้วก็ตาม

- กลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ มีแผนจะก่อกบฏโค่นอำนาจผู้นำกระทรวงกลาโหมรัซเซีย แต่ก็จบลงภายในเวลาไม่กี่วันภายหลังการไกล่เกลี่ยกับรัฐบาลรัซเซียโดยมีประเทศเบลารุสเป็นคนกลาง

- นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกแถลงการณ์หลายครั้งว่าระดับเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมาย และอาจมีการขึ้นดอกเบี้ยอีก ถึงแม้ว่าจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯมีความเสี่ยงต่อการเกิดเศรษฐกิจถดถอย

- เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องจนทำสถิติอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 6 เดือน จากกระแสเงินลงทุนไหลออกท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ

-

ในภาพรวมราคาทองคำในไตรมาส 2 ของปี 2566 ได้รับแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของทั้งสหรัฐฯและยุโรป ในขณะที่ความกังวลเรื่องการล้มละลายของธนาคารได้คลี่คลายลงภายหลังหน่วยงานที่กำกับดูแลเกี่ยวกับสถาบันการเงินสามารถหาวิธีรับมือ และแผนการรองรับการเกิดปัญหาของสถาบันการเงินอื่นที่อาจมีเพิ่มเติมในอนาคต

ด้านความเสี่ยงของของการเกิดเศรษฐกิจถดถอยไม่เพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดนักในฝั่งสหรัฐฯ เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจจำนวนมากยังดีอยู่โดยเฉพาะระดับการจ้างงาน ในขณะที่ฝั่งยุโรปย่ำแย่ลงอย่างชัดเจนโดยเป็นผลมาจากสงครามที่เกิดขึ้นในประเทศยูเครน กระแสเงินลนทุนจึงไหลออกจากยุโรปมายังสหรัฐฯและทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และเป็นประเด็นกดดันราคาทองคำเพิ่มเติม

ราคาทองคำจึงปรับฐานลงต่อเนื่องจาก 2,080-1,900 ดอลลาร์ และมีโอกาสอ่อนตัวต่อไปจนถึงระดับ 1,800 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับก่อนเกิดการล้มละลายของสถาบันการเงิน